ประเทศญี่ปุ่นนอกจากจะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและบ้านเมืองที่ทันสมัยแล้ว อีกหนึ่งสิ่งของประเทศญี่ปุ่นที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เรียกความประทับใจได้ทุกครั้งก็คือธรรมชาติแสนสวยงามสไตล์ญี่ปุ่นนั่นเอง แถมมีครบไม่แพ้ที่อื่นทั้งภูเขา ทะเลสาบ น้ำตก ทะเล ยิ่งใครชอบทำกิจกรรมผจญภัย กิจกรรมกลางแจ้งก็มีให้สนองนี้ดแบบจุก ๆ วันนี้ YouTrip จัดลิสต์พิกัดเที่ยว ญี่ปุ่นที่เที่ยวธรรมชาติ 2023 มาให้แบบจัดเต็ม พร้อมแนะนำช่วงเวลาเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงไหนดีให้ด้วย จะมีที่ไหนบ้างตามมาเลย
เที่ยวญี่ปุ่น ช่วงไหนดี ?
ประเทศญี่ปุ่นมีทั้งหมด 4 ฤดูกาล สามารถเลือกเที่ยวได้ตามความต้องการตลอดทั้งปีเลย

ฤดูใบไม้ผลิ มีนาคม – พฤษภาคม เป็นช่วงที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะมีซากุระบานทั่วประเทศเลยและก็จะมีเทศกาลชมซากุระตามเมืองต่าง ๆ ด้วย แถมอากาศก็กำลังดี ไม่ร้อนมีลมเย็น ๆ อุณหภูมิประมาณ 13-25 องศา
ฤดูร้อน มิถุนายน – สิงหาคม เป็นช่วงที่จะมีฝนตกประปรายในช่วงต้นฤดู จากนั้นอุณหภูมิก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 27-35 องศา มีเทศกาลดอกไม้ไฟ และเทศกาลประจำเมืองของแต่ละเมืองเช่น เทศกาลคันดะ ที่โตเกียว เทศกาลเท็นจิน ที่โอซาก้า ถือเป็นฤดูกาลแห่งงานรื่นเริงก็ญี่ปุ่นเลยล่ะ
ฤดูใบไม้ร่วง กันยายน – พฤศจิกายน เหมาะสำหรับคนอยากสัมผัสอากาศเย็น ๆ แบบกำลังเริ่มหนาว อุณภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 12-26 องศา เป็นอีกฤดูกาลที่ญี่ปุ่นค่อนข้างมีสีสันเพราะว่าใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แดง น้ำตาล เป็นฤดูกาลแห่งการท่องเที่ยวสำหรับคนชอบเดินเล่นในอากาศที่ไม่ร้อนอบอ้าวพร้อมชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีตามเมืองต่าง ๆ โรแมนติกสุด
ฤดูหนาว ธันวาคม – กุมภาพันธ์ อากาศหนาวถึงหนาวมาก อุณหภูมิประมาณ 2-10 องศา มีหิมะตกบางเมือง สำหรับใครอยากเล่นสกีสัมผัสหิมะมาฤดูหนาวก็คือตอบโจทย์ แต่หากใครชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งฤดูหนาวอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่เพราะอากาศเย็นมากทำกิจกรรมได้ไม่เยอะ แต่ก็สวยงามเพราะเป็นช่วงเทศกาลปลายปีอย่างคริสมาสต์กับปีใหม่ มีการประดับไฟทั่วเมืองหรือมารอเคาท์ดาวน์ขึ้นปีใหม่ก็ได้
พิกัด ญี่ปุ่นที่เที่ยวธรรมชาติ 2023 ที่ต้องไปให้ได้
1. Lake Yamanakako

ทะเลสาบยามานากาโกะเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ อยู่ที่จังหวัดยามานาชิ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมจากนักท่อง สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่คือจะมีหงส์ขาวอยู่เป็นจำนวนมาก เยอะมากจนสามารถพบเห็นได้ทั่วไปแถวทะเลสาบเลย มีจุดชมวิวอยู่รอบทะเลสาบที่เราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้แบบเต็ม ๆ ตาอีกด้วยนะ หรือใครจะปั่นเรือเป็ดเล่นชิล ๆ เขาก็มีให้บริการด้วยเช่นกันจ้า
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถบัสของ Highway Bus ที่วิ่งระหว่างโตเกียว – ยามานากาโกะ โดยจุดขึ้นรถจะอยู่ที่สถานีรถบัสด่วนพิเศษ Shinjuku Expressway Bus Terminal ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 25 นาที
2. Mt. Aso (Kumamoto)

พามาจังหวัดคุมาโมโต้กันบาง พิกัด ญี่ปุ่นที่เที่ยวธรรมชาติ 2023 ของเราอยู่ที่ภูเขาไฟอะโซะซึ่งอยู่ใจกลางเกาะคิวชูเลย ภูเขาไฟอะโซะเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับนะโดยจุดไฮไลท์คือปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ เป็นปากปล่องภูเขาไฟที่สามารถเขาถึงได้ง่ายสามารถขึ้นไปได้ทั้งทางถนนหรือกระเช้าไฟฟ้า แต่เตือนนิดนึงว่าก่อนไปควรจะเช็คสถานะของปล่อยภูเขาไฟก่อนนะเผื่อว่าช่วงที่เราไปอาจจะเป็นช่วงที่มีก๊าซพิษปล่อยออกมาเยอะหรืออยู่ในช่วงที่กำลังจะปะทุขึ้นมากอีกรอบอะไรแบบนี้ รอบ ๆ ภูเขาไฟก็มีธรรมชาติสวยงามมากมีเมืองชนบทเล็ก ๆ มีนาข้าว มีทุ่งหญ้ากว้างที่มีน้องวัวและน้องม้าอยู่ด้วย เป็นที่เที่ยวแนวธรรมชาติที่น่าสนใจมาก
ค่าเข้า : ไม่มีค่าเข้าแต่จะเสียเป็นค่าผ่านทางหรือกระเช้าไฟฟ้าไปกลับคนละ 1,000 JPY
เวลาเปิด-ปิด : 09:00-17:00 น.
การเดินทาง : นั่งรถบัสจากสถานีรถไฟ JR Aso มาลงที่สถานีขึ้นกระเช้าไฟฟ้า Asosan Nishi จากนั้นต่อกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปบนปากปล่องภูเขาไฟใช้เวลาประมาณ 40 นาที
3. Yakushima Island

ไปเดินป่าญี่ปุ่นกันบ้างดีกว่าที่นี่คือเกาะยาคูชิม่าเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีป่าดงดิบและภูเขาอยู่ภายในเกาะ ป่านี้มีต้นสนโบราณอายุกว่าพันปีเอาไว้หลายต้น เห็นว่าต้นที่มีอายุมาที่สุดอยู่มานานกว่า 7,000 ปีเลยทีเดียวนะ ระยะทางรอบเกาะประมาณ 100 กิโลเมตรวิธีการเที่ยวที่ดีที่สุดคือขับรถเที่ยวรอบ ๆ เกาะ หรือหากอยากไปเดินป่าก็ใช้บริการรถบัสสาธารณะได้แต่ว่ารถวิ่งไม่บ่อยนะ เส้นทางเดินป่า Yakusugi Land เป็นเส้นทางที่คนนิยมมากที่สุด มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน มีสะพานข้ามลำธารที่วิวธรรมชาติสวยมากแถมมีต้นซีดาร์ญี่ปุ่นเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปีด้วย
ค่าเข้า : 500 JPY / คน
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : จากโอซาก้าจะมีเที่ยวบินตรงมายังสนามบินยะคุชิมะได้เลย จากนั้นขึ้นรถบัสจากสนามบินมาท่าเรือแล้วนั่งเรือเฟอรี่มายังเกาะยาคูชิม่า
4. Nachi Waterfall (Nachi-no-tak)

น้ำตกนะชิ สัญลักษณ์ของเมืองนะชิคัตซึอุระเป็นน้ำตกสูง 133 เมตรไหลลงมาจากป่าทึบเก่าแก่ ด้วยความที่เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นทำให้มีละอองน้ำลอยอยู่ทั่วบริเวณฉะนั้นหากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวที่น้ำตกนะชิจะรู้เลยว่าที่นี่เย็นตลอดปีแม้แต่ช่วงหน้าร้อนด้วย ไฮไลท์คือศาลเจ้าฮิโรตั้งอยู่บริเวณฐานน้ำตก ศาลเจ้าที่ก่อสร้างแบบศิลปะญี่ปุ่นฉากหลังเป็นน้ำตกสูงมีละออกน้ำปกคลุมอยู่รอบ ๆ เป็นภาพที่สวยงามมากแต่เป็นจุดแลนด์มาร์คของนักท่องเที่ยวที่ต้องมาถ่ายรูปในมุมนี้เลยล่ะ
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : 8.30-16.00 น.
การเดินทาง : จากสถานี Shin-Osaka ให้นั่งรถไฟ LTD. EXP KUROSHIO ไปลงที่สถานี Kiikatsuura ใช้เวลา 4 ชั่วโมง จากนั้นขึ้นรถ Kumano Kotsu Bus ไปลงที่ป้าย Nachi no Taki-Me และเดินต่ออีก 5 นาที
5. Arashiyama

อาราชิยาม่าอยู่ที่จังหวัดเกียวโตเป็นพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เส้นทางป่าไผ่ ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวยอดฮิตและเป็นมุมรูปถ่ายรูปที่ไม่ว่าใครมาก็ต้องแวะ มุมฮิตที่ว่านี้จะอยู่หลังวัดเทนริวจิ ได้วิวทั้งแม่น้ำโฮซูกาวะ และสะพานโทเก็ตสึเคียว นอกจากนี้ที่อาราชิยาม่ายังเหมาะแก่การพักผ่อนแบบสุด ๆ เลยเพราะว่าป่าไผ่สูงมากทำให้บังแดดได้ดี อากาศไม่ร้อนและมีลมเย็นด้วย มีคาเฟ่และร้านอาหารเพียบ กิจกรรมที่น่าสนใจในนี้้คือล่องเรือแม่น้ำโฮซูกาวะและนั่งรถไฟสายโรแมนติกชมวิวหุบเขาและสองข้างทางของแม่น้ำ
ค่าเข้า : บริเวณป่าไผ่เข้าชมฟรี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย JR Sagano Line มาลงที่สถานี Saga-Arashiyama
6. Kamikochi

ดินแดนสวรรค์บนดินของจังหวัดนากาโนะ ที่คือคามิโคจิอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติชูบุซังกะกุ เป็นสถานที่พักผ่อนที่เย็นสบายตลอดทั้งปีแม้กระทั่งในฤดูร้อน ฮิตมากในหมู่คนญี่ปุ่นและเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนชอบเดินป่าปีเขาอีกด้วย เพราะที่นี่เลืองชื่อเรื่องธรรมชาติสมบูรณ์ของป่าและเขา ฤดูไฮไลท์ของที่นี่จะเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเราจะได้เห็นภาพป่าเขาเต็มไปด้วยสีส้มสีแดงของใบไม้ที่เปลี่ยนสีแล้วเรียบร้อย เปลี่ยนบรรยากาศให้กลายเป็นป่าที่อบอุ่นเลยทีเดียว หากสงสัยว่าเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงไหนดีใครชอบป่าเขียว ๆ แนะนำให้มาหน้าร้อนนะ จุดแลนด์มาร์คของการถ่ายภาพอยู่ที่แม่น้ำอาซุสะ น้ำใสกิ๊งไหลผ่านตลอดหุบเขาวิวข้างหลังเป็นภูเขาลูกใหญ่กับท้องฟ้าสดใส เหมือนอยู่แถวยุโรปเลยล่ะ
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ปิดช่วงฤดูหนาว เปิดตั้งแต่เดือนเมษายน – พฤศจิกายน
การเดินทาง : มี Direct Bus วิ่งตรงจากโตเกียวไปคามิโคจิ ขึ้นได้จากหลายสถานี ได้แก่ ชินจูกุ โตเกียว และชิบูย่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-7 ชั่วโมง
7. Urabandai

อุระบันไดศูนย์รวมบึงน้ำ ทะเลสาบและธรรมชาติบนที่ราบสูง ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติบันได-อาซาฮิ พื้นที่ใหญ่มากครอบคลุมถึง 3 จังหวัดคือ จังหวัดฟุกุชิมะ จังหวัดยามากาตะและจังหวัดนิอิกาตะ โดยอุระบันไดเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟบริเวณรอบตั้งแต่ปีค.ศ. 1888 จนเกิดเป็นบึงน้ำและทะเลสาบที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติสวยงาม ในนี้มีเส้นทางเดินป่าให้ศึกษาธรรมชาติหลายทางเลยแต่ที่ฮิตที่สุดคือ Goshiki Nature Trail หรือเส้นทางทะเลสาบ 5 สี มีบึงน้ำอยู่กว่า 30 แห่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะบึงน้ำบิชามงนูมะ ผืนน้ำสีฟ้ามรกตขนาดใหญ่ล้อมไปด้วยป่าเขาและต้นไม้ใหญ่ ฮิตมากในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : จากสถานี JR Inawashiro ให้นั่งรถบัส Bandai-to ไปลงที่ป้าย Goshikinumairiguchi ซึ่งเป็นทางเข้าของ Goshiki Nature Trail
8. Daisetsuzan National Park

อุทยานแห่งชาติไดเซสึซังจุดเที่ยว ญี่ปุ่นที่เที่ยวธรรมชาติ 2023 อยู่ใจกลางเกาะฮอกไกโดที่นี่มีภูเขาสูงโทกาจิ สูงมากจนมีชื่อเรียกว่า “หลังคาแห่งฮอกไกโด” ด้วยความที่อยู่สูงขนาดนี้จึงมีพืชพรรณไม้แบบป่าสนอัลไพน์สีสันสวยงามและธรรมชาติและยังมีระบบนิเวศน์สมบูรณ์มากจนมีสัตว์หายากและปลาพันธุ์เฉพาะอยู่ด้วย ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือจุดชมวิวที่จะได้เห็นทะเลหมอกที่ผาโซอุนเคียวตอนเช้า หรือใครอยากเช่าจักรยานปั่นชมวิวเขาก็มีให้บริการเช่นกัน ส่วนใครมาหน้าหนาวก็มาเล่นสกี สโนว์บอรด์หรือเดินขึ้นเขาได้เหมือนกัน เรียกได้ว่ามาเที่ยวได้ทุกฤดูกาลเลยล่ะ
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : นั่งรถไฟสาย JR Shimokitamon ลงที่สถานี Kamikawa จากนั้นนั่งรถประจำทางสาย Sounkyo-Kamikawa Line จนสุดสายเพื่อลงที่ป้าย Sounkyo Gorge ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
9. Shirakawa-go

ไปเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลกกัน ใครอยากสัมผัสบรรยากาศญี่ปุ่นดั้งเดิมสุดคลาสสิคและได้ชมธรรมชาติสวย ๆ แนะนำให้มาที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านชาวนาที่ตั้งอยู่ในหุบเขาตามแม่น้ำโชกาวะ ซึ่งจะประกอบด้วยหมู่บ้านย่อย ๆ อีก 16 หมู่บ้าน ในหมู่บ้านนี้มีบ้านเรือนอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี กระจายไปทั่วเลย แต่หมู่บ้านที่นักท่องเที่ยวนิยมมากที่สุดคือหมู่บ้านโอกิมาจิ เป็นหมู่บ้านหลักและใหญ่ที่สุด ซึ่งไฮไลท์อยู่ที่การเยี่ยมชมบ้านสไตล์กัสโชสึคุริ เป็นบ้านชาวนาโบราณอายุกว่า 250 ปี ลักษณะเป็นหลังคาชันถึง 60 องศา มีลักษณะคล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน ภายในหมู่บ้านยังมีร้านค้า ร้านอาหารดั้งเดิม ศาลเจ้า วัดญี่ปุ่น โฮมสเตย์ ให้เยี่ยมชมอีกมากมายเลย
ค่าเข้า : 500 JPY / คน
เวลาเปิด-ปิด : 8:40-17:00 น.
การเดินทาง : นั่งรถไฟจาก Osaka มาลงที่เมือง Kanazawa จากนั้นต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center อีกประมาณ 50 นาที
10. Takachiho Gorge (Takachiho-cho)

เที่ยวญี่ปุ่นที่เที่ยวธรรมชาติ 2023 ตามรอยตำนานและเทพนิยายของญี่ปุ่นกัน มีตำนานเล่าต่อกันมาว่าเขาทาคาจิโฮะคือสถานที่ ๆ เหล่าเทพเสด็จลงมาครั้งแรกเหมือนประเทศญี่ปุ่นถือกำเนิดขึ้นบนโลก ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยสถานที่ที่ ๆ มักจะเห็นในเทพนิยายของญี่ปุ่นอยู่ทั่วตามจุดต่าง ๆ เช่นศาลเจ้า Amano Iwato ที่มีตำนานเชื่อว่ามีเทพเจ้ามารวมตัวกันที่ศาลเจ้าแห่งนี้ บริเวณใกล้กันมีถ้ำขนาดใหญ่ ด้านในเต็มไปด้วยก้อนหินที่ถูกวางเป็นชั้น เชื่อว่าหากทำแล้วอธิฐานจะทำให้สมปรารถนา ใครชอบธรรมชาติแถมได้ไหว้พระขอพรในเวลาเดียวกันก็มาเยือนที่นี่ได้เลย
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : จากสนามบิน Kumamoto มีรถบัสให้บริการจากสนามบินนั่งมาลงที่ Takachiho Bus Center จากนั้นเดินต่ออีก 2 กิโลเมตร (ระหว่างทางมีศาลเจ้าให้แวะ หรือใครไม่อยากแวะสามารถนั่งรถ shuttle bus ได้)
11. Cape Kamui

แหลมคามูอิแหล่งเที่ยว ญี่ปุ่นที่เที่ยวธรรมชาติ 2023 สุดงดงามแห่งเกาะฮอกไกโด เชื่อว่าน่าจะเคยเห็นภาพในอินเทอร์เน็ตกันบางเนอะกับภาพแหลมหินยื่นออกไปในทะเล มีทางเดินเล็ก ๆ ยาวไปตามเนินเขาสีเขียวตัดกับน้ำทะเลสีครามสดใส ที่นี่คือแกลมคามูอิแห่งคาบสมุทรชาโคตัน ที่แหลมหินสามารถเดินขึ้นไปที่ปลายแหลมได้จะมีบันไดไม้และทางเดินคดเลี้ยวไปตามแนวเขา ระยะทางไม่ไกลประมาณ 700 เมตร ทางเดินไม่ยากนะเดินเท้าได้สบาย แถมมีลมเย็นจากทะเลผ่านมาเรื่อย ๆ ให้หายเหนื่อยด้วย ข้างทางจะเต็มไปด้วยดอกไม้และต้นหญ้าเขียวชอุ่ม เดินเพลิน ๆ แปปเดียวถึงปลายทางบริเวณปลายเเหลม มีประภาคารเล็กๆตั้งอยู่ ว่ากันว่า มีอายุมาตั้งเเต่ปี ค.ศ.1888 เลยทีเดียว
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : 08.00 น. – 18.00 น.
การเดินทาง : จากเมืองโอตารุโดยนั่งรถบัสสาย Hokkaido Chuo Bus จากป้าย Otarueki-mae Bus Termial มาลงที่ป้าย Kamui Misaki ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
12. Miyako Island

เปลี่ยนไปทะเลกันบ้าง เกาะแห่งปะการัง หาดทรายสวย ที่นี่คือเกาะมิยาโกะถูกจัดให้อยู่อันดับต้น ๆ อยู่เสมอจากเว็บไซต์รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น เห็นรูปแล้วบอกเลยว่าสวยจริง ๆ หาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีเขียวมรกตท้องฟ้าก็แจ่มใสเหมาะกับการพักผ่อนสุด ๆ ใครชอบทำกิจกรรมทางน้ำก็มีเพียบเลยนะ เจ็ตสกี บานาน่าโบ๊ท พาราเซลลิ่ง ฯลฯ จุดเด่นของที่นี่คือ สะพานอิราบูโอฮาชิ เป็นสะพานที่เชื่อต่อเกาะอีก 3 เกาะเข้าด้วยกันแถมเป็นสะพานที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียมยาวที่สุดในญี่ปุ่นด้วยนะ วิวอลังการสุด ๆ ไปเลย แนะนำให้มาช่วงพระอาทิตย์ตกจะได้เห็นวิวเปลี่ยนแปลงไปตามน้ำขึ้นน้ำลงและแสงก่อนพระอาทิตย์ตกดินสวยสุด ๆ ไปเลย
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : เดินทางด้วยเครื่องบินเท่านั้นมีเที่ยวบินตรงจากโตเกียวและโอซาก้า บินตรงได้เลยที่สนามบิน Miyako และแนะนำให้เช่ารถขับต่อรอบเกาะจะสะดวกที่สุดหรือใช้บริการรถบัสจากโรงแรมก็ได้
13. Kabira Bay

เอาใจคนชอบดำน้ำดูปะการังกันบ้างที่อ่าวคาบิระ ที่อ่าวก็จะมีชายหาดอยู่ 3 ที่ ที่แรกคือชายหาดโยเนะฮาระ เหมาะกับคนชอบดำน้ำตื้นแบบ Snorkel ที่หาดนี้เต็มไปด้วยปะการังสีขาวและแนวปะการังที่งดงามมาก หรือชายหาดซูคุจิ ยาวกว่า 1 กิโลเมตรเป็นชายหาดที่มีทรายที่ขาวละเอียดที่สุดของเกาะ สามารถว่ายน้ำหรือดำน้ำดูปะการังได้แต่ต้องระวังแมงกระพรุนฮาบุด้วยล่ะ สุดท้ายชายหาดซันเซ็ท ที่หาดนี้มีการป้องกันแมะกระพรุนฮาบุอย่างดีด้วยการขึงตาข่ายสามารถว่ายน้ำ ดำน้ำได้อย่างสบายใจเลยล่ะ นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ เกาะก็ยังมีที่เที่ยวอีกมากมาย เช่น สวนต้นปาล์มและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ด้วย
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : สามารถบินตรงจากโตเกียวไปลงที่สนามบิน New Ishigaki Airport ได้เลยและจากสนามบินสามารถนั่งรถบัสสาย Kabira Line ซึ่งจะวิ่งจากสนามบินไปยังชายหาดต่าง ๆ
14. Yurigahama Beach

Photo by : rion.911
ยังต่อที่ชายหาดกันรัว ๆ สำหรับที่เที่ยวญี่ปุ่นที่เที่ยวธรรมชาติ 2023 คราวนี้มาต่อกันที่หาดยูอิกาฮามะ เป็นส่วนหนึ่งของเกาะโยรอนซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดคาโกชิม่า หาดที่ชมได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้นเพราะว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อนเป็นช่วงที่น้ำทะเลจะลงและมีหาดทรายสีขาวโผล่ขึ้นมา แต่ว่าจุดที่ทรายขาวจะโผล่ขึ้นมาไม่ได้มีแค่จุดเดียวนะ แต่ละวันจะไม่เหมือนกันแหละ ด้วยความที่มีระยะเวลาจำกัดแบบนี้ทำให้คนเรียกกันว่าเป็นชายหาดล่องหนเพราะว่ามาแว๊บเดียวก็หายไปเหมือนเวทมนต์นั่นเอง
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : การเดินทางไปเกาะ Yoron สามารถนั่งเครื่องบินตรงถึงได้เลยจาก 3 สนามบินดังนี้ Kagoshima Airport / Amami Airport / Naha Airport
15. Kameiwa Cave

โลเคชั่นสุดท้ายสำหรับพิกัด ญี่ปุ่นที่เที่ยวธรรมชาติ 2023 มาชมแสงรูปหัวใจที่อุโมงค์คาเมวะกันเถอะ ที่นี่อยู่ในสวนชิมิสุ จังหวัดชิบะ เป็นแรร์ไอเทมหน่อยนะเนื่องจากเวลาที่สวยที่สุดมีเพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้นคือเดือนมีนาคมและกันยายน เวลาประมาณ 6-8 โมงเช้า โดยแสงรูปหัวใจที่ว่านี่เกิดจากแสงอาทิตย์ในยามเช้าที่ลอดผ่านอุโมงค์และสะท้อนเข้ากับผืนน้ำ กลายเป็นแสงรูปหัวใจ แต่บอกก่อนว่าอุโมงค์คาเมวะไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาตินะแต่เป็นการขุดเจาะอุโมงค์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเปิดทางให้น้ำจากแม่น้ำสายหลักที่ไหลมายังน้ำตกโนมิโสะไหลออกสู่พื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อใช้ในการเกษตร นอกจากแสงรูปหัวใจแล้วยังมีไฮไลท์ทางธรรมชาติอื่น ๆ อีกเช่น ชมหิ่งห้อยในช่วงฤดูร้อน หรือเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งด้วย
ค่าเข้า : ไม่มี
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟโตเกียวให้ลงที่สถานี Yaesu จากนั้นนั่งรถบัส Express Bus Akushi-Go ต่อเพื่อลงที่ป้าย Kimitsu Furusato Bussankan และเดินต่ออีกประมาณ 20 นาที
เที่ยวญี่ปุ่นด้วย YouTrip ประหยัดกว่า

แนะนำวิธีเที่ยวญี่ปุ่นให้ประหยัดว่าด้วย YouTrip ยกตัวอย่างตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่นไว้ที่ 120,000 JPY ที่ร้านแลกเงินจะเป็นไทยทั้งสิ้น 32,520 บาท หากจ่ายด้วยบัตรเครดิตจะต้องจ่าย 33,350 บาท แต่หากเปลี่ยนมากจ่ายด้วย YouTrip จะเหลือเพียง 32,418 บาท ประหยัดเพิ่มถึง 932 บาท ไปเลย เพราะ YouTrip ให้เรทที่ดีกว่าแถมไม่มีค่าธรรมเนียม 2.5%

เท่านั้นยังไม่พอ! เมื่อมีแพลนเดินทางอย่าลืมจองที่พักล่วงหน้าเตรียมไว้ด้วยล่ะ นอกจาก YouTrip จะให้คุณแลกเงินได้เรทที่ดีกว่าเที่ยวถูกกว่าใครแล้ว เรายังมีฟีเจอร์ใหม่ “YouTrip Perks” จองที่พัก Agoda หรือซื้อตั๋วค่าเข้าที่เที่ยวผ่าน Klook ได้เงินคืนแบบคุ้มๆ กันไปเลย
ญี่ปุ่นประเทศโปรดของหลาย ๆ คนนี่มีที่เที่ยวทางธรรมชาติเยอะจริง ๆ มีครบทั้งภูเขา ทะเล น้ำตก ฯลฯ ส่วนใครสงสัยว่าเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงไหนดีถึงเจอธรรมชาติสวย ๆ แบบนี้ เราแนะนำหน้าร้อนสำหรับคนชอบป่าเขียว ๆ และช่วงใบไม้เปลี่ยนสีสำหรับคนชอบบรรยากาศแบบอบอุ่นเลยจ้า สายรักธรรมชาติห้ามพลาดเลยนะ และอย่าลืมพก YouTrip ไปเป็นเพื่อนในการใช้จ่ายสำหรับทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ด้วยนะ ได้เรทดีกว่า ไม่มีค่าธรรมเนียม 2.5% คุ้มค่า ใช้สะดวก รับรองประหยัดขึ้นเยอะ
