หากพูดถึงในปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ประเทศจอร์เจีย เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวไทยเริ่มสนใจไปเที่ยวกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าน้องใหม่มาแรงเลยทีเดียว ด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าค้นหา มีความสวยงามราวกับสวรรค์อย่างแท้จริง ใครที่มาที่นี่ไม่ต้องห่วงเรื่องงบประมาณเลย เพราะค่าครองชีพค่อนข้างถูก เที่ยวได้สบายหายห่วง ก่อนที่เราจะไปดู ที่เที่ยวจอร์เจีย เรามาทำความรู้จักประเทศเล็กๆ ประเทศนี้กันก่อนดีกว่า
หลายคนอาจจะคิดว่า ประเทศจอร์เจีย อยู่ไกลมาก แต่ที่จริงอยู่ในเอเชียนี่แหละ เป็นดินแดนแห่งหุบเขา อยู่ติดกับประเทศรัสเซียและตุรกี จนได้รับขนานนามว่า ดินแดนสุดขอบทวีปเอเชีย มีอารยธรรมเก่าแก่ยาวนานกว่า 2,500 ปี ที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามทั้ง สถาปัตยกรรม ธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา และในแต่ละฤดูก็ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป มีความงดงามมากขึ้น เรียกได้ว่ามาแล้วไม่มีวันเบื่อ มาครั้งเดียวไม่พอหรอก
สำหรับการเดินทางแนะนำว่าเช่ารถขับจะเป็นอะไรที่อิ่มเอมกับธรรมชาติที่สุด อยากแวะตรงไหนก็ได้ เพราะตามเส้นทางสวยไปหมด แถมค่าครองชีพถูกมากๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าน้ำมันเลย แต่ถ้าใครที่ไม่ได้เช่ารถ อาจจะต้องศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียด เพราะสถานที่สวยๆ มักจะอยู่นอกเมืองเป็นส่วนใหญ่
เที่ยวจอร์เจียช่วงไหนดี?
ฤดูหนาว ( ช่วงหิมะ ) : ธันวาคม – กุมภาพันธ์
หากใครที่อยากสัมผัสหิมะหรือเล่นสกี ให้มาช่วงหน้าหนาวเลย ซึ่งจะมีสกีรีสอร์ทเปิดเต็มไปหมด
อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ -7 – 10 องศา แต่ถ้ามาเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จะเที่ยวลำบากนิดหน่อย เพราะอาจจะมีเส้นทางที่ถูกปิดรถวิ่งไม่ได้ เวลากลางวันสั้นกว่ากลางคืน แต่ถ้าอยากหนีร้อนไปเที่ยวช่วงหน้าหนาว ให้ไปต้นเดือนธันวามคมหรือปลายเดือนกุมภาพันธ์จะดีที่สุด
ฤดูใบไม้ผลิ : ปลายมีนาคม – ต้นพฤษภาคม
เรียกว่าช่วงไฮไลท์ของที่นี่ เป็นฤดูที่คนไทยชอบมากที่สุด เที่ยวแบบอากาศเย็นๆ กำลังดี ดอกไม้กำลังผลิบานตามสถานที่ท่องเที่ยว ธรรมชาติเริ่มกลับมามีชีวิตชีว่าอีกครั้ง ทำให้สามารถตะลุย ที่เที่ยวจอร์เจีย ได้อย่างเต็มที่ แหล่งท่องเที่ยวตามภูเขาที่สูงยังมีหิมะให้เห็นอยู่ สามารถเล่นสกีได้ถึงช่วงเมษาเลย ใครที่สามารถหยุดยาวช่วงวันสงกรานต์ได้แนะนำให้มาเลย
ฤดูร้อน : มิถุนายน – สิงหาคม
พีคสุดๆ คือช่วงน่าร้อน คนยุโรปชาวตะวันตกจะชอบมาช่วงนี้กันเป็นส่วนใหญ่ สถานที่เที่ยวจอร์เจีย ตามธรรมชาติต้นไม้เขียวขจี มีเวลากลางวันนานกว่ากลาคืน เที่ยวได้ยาวนาน มีเวลาเก็บภาพสวยๆ มากกว่าฤดูอื่น ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการท่องเที่ยว เสียอย่างเดียวอากาศร้อน คือร้อนมากจริงๆ
ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี : กันยายน – พฤศจิกายน
ชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติกับฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ทิวทัศน์ตามแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ จะค่อยๆ ไล่ผลัดเปลี่ยนสีเป็นโทนสีส้ม อากาศเริ่มหนาวเย็น เหมาะกับการควงแฟนมาขับรถเที่ยวชมธรรมชาติมากๆ เลย รับรองว่าแมนติกสุดๆ
1. Tsalka Canyon (ที่เที่ยวใหม่)
พิกัดแรกที่เราอยากแนะนำ นั่นก็คือ Tsalka Canyon ที่เที่ยวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดไปไม่นาน โดยสถานที่แห่งนี้จะเป็นสะพานเพชรกลางหุบเขาดาชบาชิ พร้อมทางเดินกระจกใสมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามได้แบบ พาโนรามา มีความยาว 240 เมตร และสูงจากพื้นเบื้องล่างราว 280 เมตร นอกจากนี้ยังมีทางปั่นจักรยานสุดพิเศษที่อยากทดลองท้าทายความสูงอีกด้วยนะ
เวลาเปิด-ปิด : 10.00 – 19.00 น.
ค่ากระเช้า : 8 GEL (ไปขาเดียว)
คลิกดูพิกัด : Tsalka Canyon,Tbilisi
2. Narikala Fortress
พิกัดถัดมาที่เราอยากแนะนำ นั่นก็คือ ป้อมนาริกาลา แปลว่า ป้อมปราการที่ไม่สามารถทำลายได้ โดยป้อมปราการหินโบราณขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 เพื่อปกป้องนครเล็กๆแห่งนี้ ปัจจุบันเปิดให้เข้าชม จะเดินขึ้นก็ได้หรือใครที่เดินขึ้นเนินเขาไม่ไหว ก็สามารถนั่งกระเช้าไปชมทิวทัศน์ของเมืองทบิลิซีจากมุมสูงได้ บอกเลยว่าวิวงดงามจนคุณต้องตะลึง
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
ค่ากระเช้า : 2 gel
คลิกดูพิกัด : Narikala Fortress , Tbilisi
3. Mother Of Geogia
เมื่อเดินมาตามป้อมมาเรื่อยๆ จะเจออนุสาวรีย์ที่ต้องมาถ่ายรูปเช็คอิน ชื่อว่า อนุสาวรีย์พระแม่แห่งจอร์เจีย ใครไม่มา ถือว่าไม่ถึงจอร์เจีย โดยอนุสาวรีย์นี้ออกแบบโดยประติมากรชาวจอร์เจีย มีความสูง 20 เมตร เป็นสัญลักษณ์ประจำประเทศจอร์เจีย พอๆ กับเทพีเสรีภาพ จะสะท้อนถึงลักษณะนิสัยของชาวจอร์เจีย มือซ้ายถือแก้วไวน์ มือขวาถือดาบ โดยแก้วไวน์หมายถึงผู้มาเยือนที่เป็นมิตร ชาวจอร์เจียก็พร้อมที่จะผูกมิตรด้วยไวน์ชั้นดี แต่ถ้าเป็นศัตรู ดาบในมือก็พร้อมที่จะปกป้อง พร้อมสู้ ไม่ให้ใครมารุกราน เพราะสมัยก่อน จอร์เจียเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ จึงเป็นที่หมายปองของประเทศรอบข้าง ทำให้ชาวจอร์เจียต้องต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนอยู่เสมอ เป็นหนึ่งในที่เที่ยวจอร์เจียที่ต้องมาให้ได้
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
ค่ากระเช้า : 2 gel
คลิกดูพิกัด : Mother Of Geogia , Tbilisi
4. Tbilisi National Park
เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติของจอร์เจียที่มีขนาดใหญ่ อยู่ทางตอนเหนือของเมืองทบิลิซี พื้นที่ของอุทยานส่วนใหญ่จะเป็นป่าที่มีต้นไม้และไม้พุ่มของต้นโอ๊ก ฮอร์นบีม และบีช เป็นป่าที่ค่อนข้างอุดมสมบรูณ์ มีสัตว์ป่าคุ้มครองเช่น กวางแดง หมียูเรเชีย จิ้งจอกแดง และอื่นๆ เหมาะกับการขับรถดูเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามใน มาฤดูไหนก็สวย มากี่รอบก็ไม่มีเบื่อ
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
ค่าเข้า : ฟรี
คลิกดูพิกัด : Tbilisi National Park , Tbilisi
5. Ushguli
พิกัดนี้เป็นที่เที่ยวจอร์เจียที่ต้องมาให้ได้ เพราะใครมาต่างก็ทึ่งในความสวยงามของ Ushguli ชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเขาในเขต Svaneti โดยหมู่บ้านจะอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา Shkhara อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 2,100 เมตร ได้ชื่อว่าอยู่สูงที่สุดในทวีปยุโรป และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งชุมชนแห่งนี้ประกอบไปด้วย 4 หมู่บ้าน ปัจจุบันมีชาวบ้านอาศัยอยู่ราวๆ 70 ครัวเรือน หรือ 300 คน ถึงจะอยู่บนหุบเขา แต่ก็มีโรงแรมที่พักนะ หากมีเวลาพักสักคืนก็ดีนะ ได้เสพบรรยากาศวิวทิวทัศน์สวยๆ อย่างเต็มที่
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
ค่าเข้า : ฟรี
คลิกดูพิกัด : Ushguli
6. Mestia
ระหว่างทางไปยังเมือง Ushguli แนะนำให้แวะ mestia เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศจอร์เจียเช่นกัน มีประชากรที่อยู่ในเมืองประมาณ 2,600 คน ซึ่งเมืองแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางสำคัญทางวัฒนธรรมของจอร์เจียมานานหลายศตวรรษ แต่ละบ้านจะมีปล่องไฟขนาดใหญ่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เลย หากคุณมองมาจากนอกเมือง ดูแล้วสวยงามมากๆ สายฮิปอย่าเราจะพลาด ที่เที่ยวจอร์เจีย ที่นี่ได้ไง
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
ค่าเข้า : ฟรี
คลิกดูพิกัด : Mestia
7. Sighnaghi
ซิกนาลี เป็นเมืองเล็กๆ ทางภาคตะวันออกของจอร์เจีย ซึ่งมีฉากหลังเป็นเทือกเขาคอเคซัส เพราะ อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ก่อด้วยอิฐแดง หลังคาโทนสีส้ม ถนนหินกรวด เมื่อดูรวมๆ แล้วสวยงามไม่แพ้เมืองอื่นเลย นอกจากนี้ที่นี่ยังอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบเก่าภายในตัวเมืองไว้ได้เป็นอย่างดีทั้ง กำแพงเมือง ป้อมปราการ โบสถ์คริสต์และตลาดโบราณ เป็นโลเคชั่นที่ถูกใจคู่รักหลายๆ คู่ ในการเลือกจัดงานแต่งงาน จนได้รับฉายาว่าเป็น City of love ของจอร์เจีย
เวลาเปิด-ปิด : ไม่มี
ค่าเข้า : ฟรี
คลิกดูพิกัด : Sighnaghi
8. Vardzia
เป็นวิหารประกอบพิธีศาสนาขนาดใหญ่ ที่ซ่อนอยู่ในถ้ำสูง 19 ชั้น และมีจำนวนห้องทั้งห้มด 6,000 ห้อง ถ้ำแห่งนี้ก่อสร้างในช่วงครึ่งหลังคริสตวรรษที่ 12 ก่อนคริสตกาล นอกจากจะใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ยังเป็นที่หลบภัยของชาวจอร์เจียในยามที่ถูกรุกรานจากศัตรูอีกด้วย แถมภายในโบสถ์แห่งนี้ ยังมีจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ซ่อนตัวอยู่ ใครที่สนใจที่เที่ยวจอร์เจียแห่งนี้ ให้มาที่ทางตอนใต้ ใกล้เมือง Akhaltsikhe เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมาก
เวลาเปิด-ปิด : 10.00 – 19.00 น.
ค่าเข้า : 7 GEL
คลิกดูพิกัด : Vardzia
9. Uplistsikhe
เป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของจอร์เจีย เป็นถ้ำที่ถูกสร้างขึ้นบริเวณเนินเขาริมแม่น้ำ Mtkvari เพื่อใช้อยู่อาศัยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ราวๆ ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนล่าง ส่วนกลาง และส่วนบน แต่ละส่วนไม่ได้มีการแกะสลักตกแต่งภายใน เป็นแค่โครงสร้างหินใหญ่ๆเท่านั้น ส่วนด้านบนเป็นมหาวิหารของศาสนาคริสต์ ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีศิลปะการตัดหินที่โดดเด่น คล้ายกับเมืองคัปปาโดเกียในตุรกี
เวลาเปิด-ปิด : 10.00 – 18.00 น.
ค่าเข้า : 15 GEL
คลิกดูพิกัด : Uplistsikhe
10. Tsminda Sameba
ปิดท้ายที่เที่ยวจอร์เจีย ถัดมาคือ Tsminda Sameba หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า Gergeti Trinity Church เป็นโบสถ์เก่าแก่กลางหุบเขาคอเคซัสแห่งจอร์เจีย ก่อสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ตั้งอยู่บนเทือกเขาคาซเบกี้ ด้วยวิวทิวทัศน์ของโบสถ์ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยเทือกเขาคอเคซัส ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงาม กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจอร์เจียไปแล้ว
เวลาเปิด-ปิด : 09.00 – 17.00 น.
ค่าเข้า : ฟรี
คลิกดูพิกัด : Tsminda Sameba
นี่คือที่เที่ยวจอร์เจีย ที่เราคัดสรรแต่ไฮไลท์เด็ดๆ มาให้ทั้งนั้น ซึ่งยังมีสถานที่เที่ยวอีกมากมายที่น่าสนใจ มาแล้วต้องมาอีก เพราะหลงรักในวิวทิวทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาด แถมค่าครองชีพที่นี่ไม่แพง มีงบ 20,000 บาท ยังมีเงินเหลือเก็บยอดกระปุกอีกด้วย สุดท้ายใครมีแพลนเที่ยวอยู่แล้ว อย่าลืมติด YouTrip ไปด้วย เพราะจะทำให้คุณได้เรทดีกว่าแลกเงินสดและรูดบัตรเครดิต ใช้จ่ายได้ประหยัดกว่าใคร ถูกสุดๆ ของแบบนี้มันต้องมี สมัครเลยฟรี ไมีมีค่าธรรมเนียมรายปี